
โยเกิร์ต ลดน้ำหนัก กินกับอะไร ตอนไหนดีที่สุด?
เมื่อพูดถึงการลดน้ำหนัก “โยเกิร์ต” มักจะเป็นอาหารลดน้ำหนักอันดับแรก ๆ ที่หลายอาจนึกถึง ซึ่งแม้ว่าโยเกิร์ตจะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าการกินโยเกิร์ตในปริมาณม่ชากเพียงอย่างเดียวจะทำใหสามารถลดน้ำหนักได้ วันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลว่าโยเกิร์ตกินกับอะไรและตอนไหนดีที่สุดมาฝากทุกคนกัน
ประเภทของโยเกิร์ต
1. โยเกิร์ตแท้ เนื้อครีมมีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว รสชาติอมเปรี้ยว เพราะทำจากนมทั้งชนิดไขมันปกติ ไขมันต่ำ และปราศจากน้ำตาล
2. โพรไบโอติกส์โยเกิร์ต เป็นโยเกิร์ตที่ผ่านกระบวนการเติมจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์เข้าไป จึงทำให้มีคุณประโยชน์เพิ่มขึ้น
3. กรีกโยเกิร์ต เนื้อโยเกิร์ตจะมีลักษณะแข็งมากกว่าโยเกิร์ตแท้ เพราะเอาความชื้นออก มีโปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตปกติถึงสองเท่า
4. โยเกิร์ตชนิดดื่ม โยเกิร์ตที่เติมน้ำหรือของเหลวอื่นเข้าไป มีรสชาติหวาน และมีน้ำตาลมากกว่าโยเกิร์ตทั่วไป
5. โยเกิร์ตที่ไม่ได้ทำมาจากนม โดยเป็นโยเกิร์ตทางเลือกสำหรับที่มีอาการแพ้สารจากนมวัว โยเกิร์ตชนิดนี้จึงมักถูกสกัดมาจากพืช เช่น ถั่วเหลือง เป็นต้น
โยเกิร์ตช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร?
โยเกิร์ตเป็นอาหารลดน้ำหนักที่มีแคลอรี่ต่ำ โดยโยเกิร์ต 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 59 แคลอรี ซึ่งมีไขมันเพียง 0.4 กรัม แต่มีโปรตีนถึง 10 กรัม ทำให้กินแล้วอิ่มท้อง ช่วยสร้างกล้ามเนื้อที่เปรียบเหมือนเตาเผาผลาญไขมัน ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักและลดน้ำหนักไปได้พร้อม ๆ กัน
โยเกิร์ตกินตอนไหนดีที่สุด?
กินตอนเช้า : จะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี แถมอยู่ท้อง
กินตอนกลางวัน : ไม่ควรกินเป็นอาหารมื้อหลักเพราะพลังานอาจจะน้อยไป แนะนำให้กินหลังมื้ออาหารแทนจะดีกว่า
กินหลังออกกำลังกาย : ช่วยลดการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและซ่อมแซมมวลกล้ามเนื้อที่สึกหรอ
กินตอนเย็นหรือกินมื้อดึก : เหมาะกับการกินเพื่อรองท้อง แถมยังย่อยง่าย
โยเกิร์ตกินกับอะไรดีที่สุด?
1. โยเกิร์ต + แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลสามารถช่วยลดน้ำหนักและช่วยในการย่อยอาหารได้ เอาแอปเปิ้ลกับโยเกิร์ตกินแทนอาหารในมื้อปกติ หั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่ในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ หลังจากนั้นผสมกับโยเกิร์ตกินด้วยกันใช้ได้ทั้งลูกสีแดงหรือสีเขียว
2. โยเกิร์ต + แตงกวา
แตงกวาเป็นอาหารลดน้ำหนักที่กินกับโยเกิร์ตจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพ เพราะแตงกวาและโยเกิร์ตล้วนมีแคลอรีต่ำ ไม่ต้องกลัวว่าจะกินแล้วอ้วน้ลย
3. โยเกิร์ต + กล้วยหอม
กล้วยหอมมีสารอาหารมาก แคลอรีต่ำ แถมยังเต็มไปด้วยโปรตีน น้ำตาล โพแทสเซียม ไฟเบอร์ วิตามิน A และ C การกินกล้วยหอมกับโยเกิร์ตสามารถแก้ปัญหาท้องผูก แถมกล้วยยังทำให้รู้สึกอิ่มได้ด้วย ยิ่งกินกับโยเกิร์ตยิ่งทำให้อิ่ม ทำให้สามารถลดการกินอาหารประเภทอื่นได้ด้วยนั่นเอง
4. โยเกิร์ต + มะละกอ
มะละกอสามารถทำให้ท้องอิ่ม ให้แคลอรีต่ำมาก โดยนำเอามะละกอมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ผสมโยเกิร์ตแล้วดื่ม ก็จะทำให้ลดน้ำหนักได้ด้วย
โปรแกรมลดน้ำหนักกระชับสัดส่วน
-
ปากกาลดน้ำหนัก Slim Shape น้ำหนักลง เราก็รู้สึกได้ผลเร็วดี
เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุด “เปปไทด์ลดหิว” Liraglutide สารโปรตีนสกัดเลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกจากลำไส้หลังการทานอาหาร เพื่อส่งสัญญาณความอิ่มไปที่สมองประมาณ 3-5 นาที
กลไกการออกฤทธิ์ของ Slim Shape
- Slim Shape ใช้เทคโนโลยีเปปไทด์ลดหิว (Liraglutide) ซึ่งเป็นสารโปรตีนสกัดที่สามารถเลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ตามธรรมชาติของร่างกาย โดยจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณความอิ่มไปที่ “สมองส่วนกลาง” ทำให้รู้สึกอิ่มได้ยาวนานถึง 24 ชม.
- ลดการบีบตัวของ “กระเพาะอาหาร“ จึงช่วยทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น การย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้นานขึ้น จึงทำให้เราทานอาหารได้น้อยลง
- Slim Shape ยังช่วยกระตุ้นให้ “ตับอ่อน” ซึ่งมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน เพื่อดึงน้ำตาลเข้าเซลล์มีคุณภาพดีขึ้น จึงทำให้สามารถเก็บและนำพลังงานที่สะสมออกมาใช้ได้มีคุณภาพมากขึ้น
ผลลัพธ์หลังการใช้ Slim Shape
สามารถเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ลดความอยากอาหาร ทำให้ไม่รู้สึกหิวน้อยลง สามารถควบคุมอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักถึง 80% เมื่อใช้ต่อเนื่องเพียง 4 เดือน น้ำหนักลดลง 5-10%
นอกจากนี้ ยังสามารถลดไขมันในช่องท้อง (Visแeral Fat) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคแทรกซ้อนและอันตรายจากความอ้วน
Slim Shape เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนีทวลกาย BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 30
- ผู้ที่พยายามจะลดน้ำหนักด้วยยาลดน้ำหนักแล้วไม่เห็นผล
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น ๆ หรือการทาน IF และต้องการลดพฤติกรรมการกินจุบจิบ
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียง
- ผู้ที่อายุ 18 ปี ขึ้นไป
โยโย่ เอฟเฟค
เมื่อลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย สามารถหยุดใช้ยาได้ทันที โดยจะไม่ทำให้เกิดอาการ “โยโย่ เอฟเฟค” เหมือนกับยาลดน้ำหนักแบบเดิม เพียงแต่เมื่อหยุดใช้ยาแล้วจะมีความรู้สึกหิวเหมือนช่วงก่อนการเริ่มใช้ยา
ความปลอดภัย
ยาได้รับอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาทั้งไทยและต่างประเทศ จึงมีความปลอดภัย ไม่มีอันตรายเหมือนยาและอาหารเสริมลดน้ำหนักตัวอื่น ๆ ตัวยาไม่ได้มีกลไกออกฤทธิ์รบกวนสารสื่อประสาท จึงไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางจิตประสาท เช่น ใจสั่น ก้าวร้าว ฝันร้าย ประสาทหลอน ตามมา
-
IV WEIGHT LOSS
จะเพิ่มการเผาผลาญไขมัน เปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงช่วยควมคุมความหิวและลดความอยากอาหาร ฟื้นตัวได้รวดเร็วจากการออกกำลังกาย ไม่ดูเหนื่อย ไม่โทรม ช่วยให้ดูสดใส และมีชีวิตชีวา รวมส่วนผสมที่เป็นสูตรเฉพาะของ Apex ซึ่งประกอบไปด้วย
Vitamin B Complex : ช่วยลดภาวะเครียด เพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้ ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน หากขาดจะทำให้เกิดการเหนื่อยล้า ความหงุดหงิด สมาธิไม่ดี มีความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า
Vitamin C : ช่วยให้ร่างกายนำไขมันมาใช้ประโยชน์ ลดความเหนื่อยล้า ออกกำลังกายได้ง่ายขึ้น ช่วยการทำงานของต่อมหมวกไต ลดความเครียดและความเหนื่อยล้า
Lipotropic : ช่วยสลายไข เปลี่ยนไขมันสะสมไปเป็นพลังงานส่งเสริมการสร้างกล้ามเนื้อ
Vitamin B 12 : เป็นขุมพลังสำหรับร่างกาย ช่วยสร้าง DNA เส้นประสาท และเซลล์เม็ดเลือด ระบบเผาผลาญไม่สามารถทำงานได้หากไม่มีวิตามิน Vitamin B 12 หากขาดจะทำให้อ่อนเพลียเหนื่อยล้า
L-carnitine : ช่วยการเผาผลาญ สลายไขมันส่วนเกิน (ไตรกลีเซอร์ไรด์) ในเลือด ทำให้การเผาผลาญกลูโคสดีขึ้น ช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการอัตราการเผาผลาญ ช่วยลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักด้วย IV Weight Loss ร่างกายจะสามารถดูดซึมวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโนได้อย่างรวดเร็ว และดูดซึมได้ถึง 100 % สามารถแทรกซึมเข้าสู่ระดับเซลล์ จึงเป็นผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน และรวดเร็ว และสามารถแทรกซึมเข้าสู่ระดับเซลล์ นอกจากนี้สารอาหารต่าง ๆ อย่างกรดอะมิโนแอซิดและวิตามินหลายชนิด เมื่อต้องผ่านเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร ก็อาจจะทำให้เกิดแก๊สหรืออาการปวดกระเพราะ และอีกหลาย ๆ ปัญหาตามมา ในขณะที่ทำการให้สารอาหารผ่านทาง IV จะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงเหล่านั้น
สามารถกระชับผิวด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ใช้เวลาเพียง 30 นาที เป็นเทคโนโลยีแรก และเทคโนโลยีเดียวที่ผสมผสานพลังงานคลื่นวิทยุเข้ากับพลังเสียงอัตร้าซาวด์ ส่งพลังงานเข้าถึงเนื้อเยื่อผิวในหลายระดับความลึก จึงสามารถกำจัดไขมันและฟื้นฟูเนื้อเยื่อผิวตั้งแต่ในระดับลึกจนถึงระดับผิวชั้นบน มีหัวส่งความเย็นที่ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมสอดคล้องกับการทำงานตลอดเวลา จึงปลอดภัยสูงสุด ไม่เจ็บ ตลอดการทำทรีทเมนท์
ทำสัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่องทั้งหมด 4 ครั้งต่อเดือน ผลลัพธ์หลังทำกระชับทันที และผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังทำครั้งสุดท้าย 1-3 เดือน ทำได้ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า ทั่วใบหน้า ลำคอ แขน ขา ก้น หน้าท้อง และอวัยวะเพศหญิง ซึ่งมีหลายหัวที่ใช้ทำ เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละบริเวณ