
ลดน้ำหนัก หุ่นสวยด้วย IF ได้จริงไหม?
เราต่างรู้กันดีว่าการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักนั้น เป็นการลดน้ำหนักที่ผิดวิธีและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าน้ำหนักจะลดลงได้เร็วจริง แต่หุ่นเสี่ยงกับการเกิดโยโย่ เอฟเฟกต์ได้เช่นกัน ต่างกับการ “อดอาหารบางเวลา” หรือ การลดน้ำหนักแบบ IF ที่มีผลวิจัยทางการแพทย์สนับสนุนว่าสามารถลดน้ำหนักได้จริง
Intermittent Fasting (IF) คือ “การกินแบบจำกัดช่วงเวลา” หรือ การอดอาหารในระยะสั้น (Fasting) สลับกับการกินอาหาร (Feeding) แต่ไม่ใช่การอดอาหารทุกวัน และสามารถกินอาหารอะไรก็ได้ตามปกติ โดยไม่จำกัดประเภทของอาหาร วิธีนี้จะเป็นการเพิ่มอัตราการเผาผลาญมากขึ้น และสามารถลดไขมันที่สะสมในร่างกาย โดยไม่ทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลงเหมือนการอดอาหารทั่วไป
IF ลดน้ำหนักได้อย่างไร
เมื่อเรากินอาหารเข้าไปจะทำให้ปริมาณอินซูลิน (Insulin) สูงขึ้น และยากต่อการเผาผลาญไขมัน แต่เมื่อท้องว่างอาหารที่ถูกย่อยและดูดซึมไปจนหมดแล้ว จะทำให้ปริมาณอินซูลินลดต่ำลง ร่างกายจะหลั่ง Growth Hormones ออกมา เกิดสภาวะ Ketosis จึงทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่สะสมมาใช้เป็นพลังงานในช่วงเวลาที่อดอาหารนั่นเอง นอกจากนี้ยังช่วยในการควบคุมปริมาณอาหารไม่ให้มากเกินไปอีกด้วย
วิธีการลดน้ำหนักแบบ IF
การอดอาหารแบบวันเว้นวัน (Alternate day fasting)
วิธีนี้จะเป็นการอดแบบสุดโต่ง โดยการอดอาหารจะทำสลับกับการกินอาหารในวันต่อมา โดยสามารถที่จะรับประทานอะไรก็ได้ สลับแบบนี้กันไปเรื่อยๆ ซึ่งวันที่อดอาหารอาจจะไม่ต้องอดทั้งวัน แต่วันต่อมาจะต้องจำกัดปริมาณแคลอรีไว้แค่เพียง 500 แคลอรีต่อวันเท่านั้น ซึ่งการอดด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่แนะนำ เพราะอาจทำให้ร่างกายอ่อนล้าจากการอดอาหาร
การอดอาหารแบบทั้งวัน (Whole-day fasting : WDF)
เป็นการอดอาหารแบบทั้งวัน หรืออดอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยมากแล้วมักจะเลือกอดอาหารตั้งแต่มื้อเช้าของวันนี้ ไปจนถึงช่วงเวลาอาหารเช้าของอีกวัน หรือมื้อเที่ยงของวันนี้ ไปจนถึงช่วงมื้อเที่ยงของอีกวัน ซึ่งจะทำประมาณ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และเป็นวิธีที่ไม่แนะนำเช่นกัน เนื่องจากจะการอดอาหารประเภทนี้เป็นวิธีที่มีผลเสียทางสุขภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดอาการปวดศีรษะ มีผลต่ออารมณ์หรือสร้างความหงุดหงิด ทำให้ร่างกายอ่อนล้า ขาดพลังงานและขาดสมาธิ และอาจรู้สึกหิวจนทนไม่ไหว
การอดอาหารแบบ 5:2 (The twice-a-week method)
เป็นวิธีกินอาหารแบบปกติ 5 วัน และการอดอาหารแบบ Fasting 2 วัน ซึ่งสามารถกำหนดวันอดอาหารให้ติดกัน หรือเว้นระยะห่างจากกันก็ได้ การอดไม่ได้หมายความว่าจะไม่กินอะไรเลย แต่เป็นการกินให้น้อยลง โดยสองวันที่อดนี้จะต้องกินอาหารให้ได้ปริมาณแคลอรีรวมกัน คือ ผู้ชายสามารถกินได้ 600 Kcal ส่วนผู้หญิงกินได้ 500 Kcal หรือประมาณ 1/4 ของ Kcal ต่อวันนั่นเอง เช่น กินอาหารวันอาทิตย์ 200 แคลอรี และวันอังคารอีก 300 แคลอรี เป็นต้น และควรจะเน้นการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์และโปรตีนสูงด้วย
การอดอาหารแบบ 16:8 (Lean Gains)
เป็นวิธีการลดน้ำหนักแบบ IF ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดขนาดนิโคล คิดแมน และมิแรนด้า เคอร์ ยังใช้สูตรนี้กันเลย ซึ่งเหมาะกับผู้ที่เริ่มต้นอย่างมาก เพราะไม่กระทบการใช้ชีวิตประจำวันมากจนเกินไปสามารถทำได้ง่ายและต่อเนื่อง โดยการอดอาหารให้ได้ 16 ชั่วโมง แล้วกินภายใน 8 ชั่วโมง หรือจะอด 14 ชั่วโมง แล้วกิน 10 ชั่วโมง ก่อนเพื่อให้ร่างกายปรับตัว จากนั้นค่อยเพิ่มเป็น 16 ชั่วโมง สามารถเริ่มเวลาไหนก็ได้ และในช่วงเวลาที่อดอาหารสามารถดื่มน้ำ หรือกินอาหารที่ไม่มีแคลอรีได้ เช่น กาแฟดำหรือน้ำอุ่น
โดยช่วงเวลาที่ถูกเลือกนำไปใช้มากที่สุด คือ การอดอาหารในช่วงกลางคืนไปจนถึงช่วงเที่ยงของอีกวันโดยไม่กินอาหารเช้า เช่น กินอาหารในช่วงเที่ยงไปจนถึง 2 ทุ่ม และช่วงเวลาหลังจากนั้นจะไม่มีการรับประทานอาหารอีกจนกว่าจะครบ 16 ชั่วโมง
Intermittent Fasting (IF) ลดได้จริง แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
จริงอยู่ที่ว่าการลดน้ำหนักด้วยวิธี IF นั้นสามารถลดได้จริง และมีผู้เชี่ยวชาญรับรอง แต่อาจส่งผลเสียมากมายกับสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดอาการปวดศีรษะ มีผลต่ออารมณ์หรือสร้างความหงุดหงิด ทำให้ร่างกายอ่อนล้า ขาดพลังงานและขาดสมาธิ ซ้ำร้ายยังอาจรู้สึกหิวจนทนไม่ไหว

Nervous stressed woman feeling anxiety or strong headache massaging temples studying in cafe, young tired female student experiencing panic attack preparing for test or exam in public place
หยุดอ้วนที่ต้นเหตุ ไม่ต้องเสี่ยงเสียสุขภาพ ศูนย์ลดน้ำหนัก Apex Slim มีแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญในด้านการลดน้ำหนักโดยเฉพาะ และเป็นศูนย์รวมเทคโนโลยีทันสมัยระดับโลกในการลดน้ำหนักและสัดส่วนที่มีจำนวนเครื่องมือมากที่สุด
โปรแกรมลดน้ำหนักที่ Apex Slim ใช้การผสมผสานการรักษา โดยมีเทคโนโลยีล่าสุด “เปปไทด์ลดหิว” สารโปรตีนสกัดเลียนแบบฮอร์โมนจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว ลดความรู้สึกหิวและความอยากอาหารจึงช่วยให้ควบคุมอาหารได้ง่ายขึ้น ลดน้ำหนักที่ต้นเหตุ ไม่ต้องเสี่ยงออกกำลังกายหนักแบบหักโหม ซึ่งการควบคุมอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักถึง 80% ใช้ต่อเนื่องเพียง 4 เดือน น้ำหนักลดลง 5 – 10% และสามารถหยุดการใช้ได้เมื่อลดน้ำหนักได้เป็นที่พอใจ โดยไม่มีโยโย่ เอฟเฟกต์เหมือนกับยาลดน้ำหนักแบบเดิม