5 เทคนิค ออกกำลังกายลดน้ำหนักให้ได้ผลดี

5 เทคนิค ออกกำลังกายลดน้ำหนักให้ได้ผลดี

การออกกำลังกายลดน้ำหนักถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ที่เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาอ้วน พุงยื่นย้วยได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานและส่งผลให้น้ำหนักลดลงได้เร็วขึ้นอีกด้วย 

แม้ว่าการออกกำลังกายจะช่วยลดน้ำหนักได้ดีก็จริง แต่เรากลับพบว่ามีหลายคนที่ไม่สามารถลดน้ำหนักจากการออกกำลังกายได้ ไม่ว่าจะออกกำลังกายหนักขนาดไหน น้ำหนักก็ยังไม่ได้ลดลง ซึ่งสาเหตุทั้งหมดเกิดจากการออกกำลังกายที่ผิดวิธีหรือไม่เหมาะสม ทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้เต็มที่ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับออกกำลังกายลดน้ำหนักให้ได้ผลดี แบบถูกวิธีและเหมาะสมมาฝากกัน

 

  1. เลือกออกกำลังกายให้เหมาะสม

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio Exercise) 

เป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น หายใจถี่ขึ้น สามารถพูดได้เพียงแค่ประโยคสั้นๆ แต่ไม่ถึงกับเหนื่อยหอบจนเกินไป สามารถเผาผลาญไขมันได้ดีตามระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกาย ได้แก่ การวิ่ง, การว่ายน้ำ, การปั่นจักรยาน, การเต้นแอโรบิก, การเดิน 

 

การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Training) 

เป็นการออกกำลังกายเพื่อช่วยทำให้ผิวกระชับ สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อสามารถช่วยในการเผาผลาญไขมันได้ โดยจะใช้วิธีออกกำลังกายแบบเดิมหลายๆ ครั้ง ซึ่งอาจมีหรือไม่มีอุปกรณ์ช่วยต่างๆ เช่น สปริงยืด, ดัมเบล การออกกำลังกายประเภทนี้ได้แก่ บอดี้เวท (Body Weight) หรือเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) 

ดังนั้นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอจะช่วยทำให้ลดน้ำหนักได้เร็วกว่า ส่วนบอดี้เวทหรือเวทเทรนนิ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับและช่วยสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มการเผาผลาญ

 

  1. ค่อยเป็นค่อยไป

การออกกำลังกายถึงแม้ว่าจะสามารถลดน้ำหนักได้ แต่หากลดเกินกำลังที่เราทำได้ ณ ขณะนี้ จะส่งผลให้รู้สึกเหนื่อย ร่างกายโทรมและเกิดความรู้สึกไม่อยากออกกำลังกายอีก ฉะนั้นเราควรออกกำลังตามลำดับความเข้มข้นดีกว่า

ความเข้มข้นต่ำ เป็นการออกกำลังกายที่ร่างกายจะเผาผลาญไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องขยับร่างกายมาก เช่น การการเดิน เหมาะกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมากกว่าการลดน้ำหนัก เนื่องจากการออกกกำลังกายประเภทนี้มีการใช้พลังงานขณะออกกำลังกายไม่มากนัก จึงทำให้การเผาผลาญไขมันน้อยไปด้วย

ข้อดี : ทำให้ลดความเสี่ยงของอาการบอกตามข้อต่อและการบาดเจ็บต่างๆ ได้ ไม่รู้สึกเหนื่อยมากขณะออกกำลังกาย สามารถทำติดต่อกันได้เป็นเวลานาน ทำให้มีออกซิเจนเข้าไปไหลเวียนในร่างกายมากขึ้น เลือดมีการสูบฉีดอัตราการเต้นของหัวใจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงสูบฉีดได้ดีและที่สำคัญการออกกำลังกายแบบนี้ไม่ทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่ส่งผลให้การเผาผลาญน้อยลง 

ความเข้มข้นกลาง : เป็นการออกกำลังกายในระดับที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น หายใจถี่ขึ้น สามารถพูดได้เพียงแค่ประโยคสั้นๆ แต่ไม่ถึงกับเหนื่อยหอบจนเกินไป เมื่อทำต่อเนื่องสามารถลดน้ำหนักได้หรือเรียกว่าช่วง Fat Burn Zone เช่น การปั่นจักรยาน, เต้นแอโรบิก, วิ่ง, ว่ายน้ำ ความเข้มข้นระดับนี้จึงเป็นความเข้มข้นที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกายลดน้ำหนัก

ความเข้มข้นสูง : เป็นการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายมาก ทำให้เหนื่อยสุดๆ แต่อาจไม่ช่วยลดไขมัน เพราะเมื่อเราเพิ่มความหนักในการออกกำลังกาย ร่างกายจะต้องการน้ำตาลกลูโคสในเลือดและในกล้ามเนื้อมาเป็นแหล่งพลังงานหลัก ทำให้มีการเผาผลาญกลูโคสในเลือดมาใช้แทนที่จะเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย 

 

3. ออกกำลังกายมากกว่า 10 นาที

เมื่อเราเริ่มออกแรง ร่างกายจะดึงพลังงานสำรองเพียงน้อยนิดไว้ใช้ตอนเกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้นที่ได้จากเซลล์ขึ้นมาใช้  ซึ่งจะถูกใช้จนหมดในเวลาเพียงแค่ราว 20 วินาทีแรก เมื่อออกแรงอย่างต่อเนื่องร่างกายจะนำพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญไกลโคเจน การเผาผลาญกลูโคสในเลือดมาใช้ ซึ่งพลังงานส่วนนี้จะเริ่มหมดลงในช่วง 2 นาทีและจะเริ่มนำไขมันส่วนเกินในร่างกายมาใช้หลังจาก 10 นาทีเป็นต้นไป

 

  1. ห้ามอดอาหาร

ก่อนออกกำลังกาย : จะช่วยทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเสริมสร้างการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ เพราะร่างกายแปลงพลังงานมาเก็บสะสมไว้ในของพลังงานสำรองที่เรียกว่าไกลโคเจน (Glycogen) เมื่อมีพลังงานก็มีแรงออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ โดยสามารถพบไกรโคเจนได้ในอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต 

หลังออกกำลังกาย : ควรรับประทานมื้อหลังออกกำลังกายให้ได้ภายใน 30-45 นาที เพื่อช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ฮอร์โมนต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น 

 

  1. ช่วงเวลาที่ดีในการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้ระบบเผาผลาญทั้งวันทำงานได้ดีขึ้น เหมือนเป็นการกดปุ่มสตาร์ทการเผาผลาญพลังงาน นอกจากนี้หลังจากออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้รู้สึกสดชื่นและไม่ง่วงนอนอีกด้วย

 

หากใครที่ไม่ต้องการออกกำลังกายให้เหนื่อย แต่สามารถลดน้ำหนักไปพร้อมกับการสร้างกล้ามเนื้อ เราแนะนำ Emsculpt เทคโนโลยีหนึ่งเดียวในปัจจุบันที่สามารถกำจัดไขมันควบคู่กับการสร้างกล้ามเนื้อ ทำงานโดยการใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเฉพาะเจาะจง High-In Tensity Focused Electro-Magnetic (HIFEM) ส่งพลังงานเข้าถึงชั้นกล้ามเนื้อและไขมันใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเกิดการหดเกร็งถึง 20,000 ครั้งต่อการทำทรีตเมนต์ 30 นาที เทียบเท่ากับการยกเวทหนักๆ แล้วทำ Sit up ไปด้วยพร้อมกัน 20,000 ครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงเราแทบจะไม่สามารถออกกำลังกายแบบนี้ได้เลย

ทั้งนี้การหดตัวของกล้ามเนื้อจะสามารถสร้างมวลกล้ามเนื้อใหม่ ทำให้มีขนาดใหญ่และแข็งแรงขึ้น สามารถสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มจำนวนกล้ามเนื้อให้ทนทานแข็งแรงและอยู่ได้นานขึ้น ส่งผลให้รูปร่างกระชับ มีกล้ามเนื้อหน้าท้องและซิกแพค ควบคู่ไปกับการเผาผลาญไขมันและการทำลายเซลล์ไขมัน 

 

ต้องทำบ่อยแค่ไหน ต้องพักฟื้นหรือไม่

Emsculpt  ควรทำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เหมือนกับการออกกำลังกายปกติและสามารถทำทรีตเมนต์เพียง 4-6 ครั้งจะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว ที่สำคัญไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

***ผลการวิจัย แสดงถึงความพึงพอใจต่อการรักษามากถึง 96% และโดยเฉลี่ยมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 16% และไขมันลดลง 19%

APEX SLIM ประสบการณ์กว่า 25 ปี โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่อง Emsculpt ได้รับการรับรองประสิทธิภาพและความปลอดภัย US FDA Approved ย่อมาจาก Food and Drug Administration ซึ่งเรามีเครื่อง Emsculpt มากที่สุดในประเทศไทยและมีประสบการณ์ทำเคสมากที่สุดเช่นกัน

 

ปรึกษาได้ที่นี่
095-102-8585
LINE: https://line.me/ti/p/%40APEXslim
FB INBOX: http://m.me/apexslim
FB Page: https://www.facebook.com/ApexSlim


MAKE AN APPIONTMENT